เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568
เรื่อง เมตตาสมาธิสลายภัยพิบัติ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้กาย รู้อิริยาบถ ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนพร้อมกับความรู้สึกว่า จิตปล่อยวางความเกาะความยึดมั่นถือมั่น ผัสสะที่เชื่อมโยงระหว่างร่างกายขันธ์ห้ากับจิตใจของเรา ผ่อนคลายปล่อยวาง จนจิตรวมดิ่งเข้าสู่ความสงบ แยกกายแยกจิต แยกรูปแยกนาม แยกความเกี่ยวข้องความสนใจในกายออกไป จิตค่อยๆรวมลงสู่ความนิ่งสงบ
จากนั้นกำหนดรู้ในลมหายใจ สติรู้ลม ลมหายใจเบา ลมหายใจละเอียด ลมหายใจสงบระงับ เรากำหนดรู้ รู้ในลมหายใจ รู้ในอารมณ์คือเวทนา รู้ในจิตคือความสงบนิ่ง รู้ในธรรม กระจ่างแจ้งยินดีในความสงบคือความสุขของจิต ความสุขเสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี ความสุขสูงสุด ความสงบสูงสุด ก็คือความสุขที่จิตสงบระงับจากสรรพกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานทั้งปวง นั่นก็คืออารมณ์แห่งพระนิพพาน นิ่งสงบ
จากนั้นกำหนดยกจิตขึ้นสู่ฌานสี่ในอานาปานสติ หยุดจิต นิ่งหยุด หยุดจิต หยุดการปรุงแต่ง จิตรวมนิ่ง เข้าถึงเอกัคคตารมณ์ เข้าถึงอุเบกขารมณ์ เมื่อจิตสงบสำรวมนิ่งเป็นฌาน เราก็เดินจิตขึ้นสู่ฌานสมาบัติในสมถะสมาธิที่สูงขึ้น จากจุดที่หยุดของลมหายใจ ลมหายใจสงบระงับหยุดเป็นจุดเดียว เป็นเอกัคคตารมณ์ เรากำหนดจินตภาพ ณ จุดนั้น ขยายขึ้นเป็นวงกลม จากวงกลมปรากฏขึ้นเป็นดวงแก้วทรงกลม มีความใส มีความสว่าง ดวงแก้วที่ใสที่สว่างขยายขึ้นสว่างขึ้น ชัดเจนกระจ่างขึ้น
จากนั้นเชื่อมโยงจิตกับนิมิตเป็นหนึ่ง เอกัคคตารมณ์ของจิตรวมกับอิทธิพลานุภาพของกสิณ ดวงแก้วค่อยๆสว่างขึ้นใสขึ้น จิตเราผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับภาพกสิณ จิตคือกสิณ กสิณคือจิต ภาพนิมิตแห่งกสิณมีความสว่างผ่องใสมีความเป็นทิพย์ จิตเราก็เชื่อมโยงเป็นหนึ่ง พลอยมีความสว่างไสว มีความใส มีความเป็นทิพย์
จากจิตที่สว่างเป็นแก้วเป็นอุคหนิมิตยกขึ้นสู่ความเป็นปฏิภาคนิมิต จิตเป็นเพชรประภัสสรสว่างไสว ดวงจิตเป็นเพชรลูกเจียระไนละเอียดมีความระยิบระยับแพรวพราว จากดวงจิตมีเส้นแสงรัศมีสว่างออกไปโดยรอบ มีความสวยงาม มีความสว่าง จากความสว่างแพรวพราวนั้นปรากฏเส้นแสงเจ็ดสี ปรากฏมีความเข้มมีความชัดเจน เลยพ้นจากเส้นแสงรัศมีของจิต ปรากฏสภาวะแห่งความเป็นทิพย์ เป็นบรรยากาศครอบคลุมรายรอบซ้อนทับอีกชั้นหนึ่ง มีลักษณะเหมือนบรรยากาศทั้งหมด มีกากเพชรระยิบระยับแพรวพราวโปรยปรายรายรอบอยู่ ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรที่สุด ผ่องใสที่สุด เต็มกำลังที่สุด มีความเป็นทิพย์ที่สุด กำหนดว่าภายในจิตของเรานั้นเปี่ยมพลัง พลังแห่งความผ่องใส พลังงานที่ประจุอัดแน่น พลังแห่งจิตตานุภาพจากจิตที่ฝึกฝนมาดีแล้ว ประคองอารมณ์ประคองสภาวะประคองนิมิต สงบนิ่งเป็นหนึ่งเดียว ทรงในฌานสมาบัติ เพาะบ่มตบะเดชะสมาธิ กำลังแห่งจิต กำลังแห่งแสงรัศมีของจิต รวมถึงสภาวะความเป็นทิพย์ในบรรยากาศ มีรัศมีกว้างไกล เลยพ้นจากบ้านเรือนเคหะสถานที่เรานั่งสมาธิอยู่ขณะนี้ กำหนดผนึกกระแสจิตและความเป็นทิพย์ ประคองปรับสภาวะให้บรรยากาศให้สถานที่เป็นทิพยสถาน มีกำลังบุญ มีกำลังตบะ มีกำลังแห่งกระแสเมตตาคุ้มครอง
จากนั้นกำหนดเชื่อมรัศมีของจิต คลื่นรัศมีของจิตเป็นกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่สว่างกระจายเลยขอบเขตพ้นไปจากบ้านเรือนเคหะสถาน แผ่สว่างออกไปทั่วจักรวาล แผ่สว่างสงบเย็นออกไปทั่วสามภพสามภูมิ กำลังแห่งเมตตาฌาน กำลังแห่งตบะเดชะ สมาธิจิตของทุกคนที่ตั้งจิตเจริญจิตภาวนา รวมตัวกันเป็นอภิจิต ก่อเกิดเป็นพลังงาน เป็นกระแสบุญ เป็นกระแสแห่งเมตตา เป็นกระแสแห่งความสงบร่มเย็นสันติสุข บุญญาณฌานสมาบัติ บุญเมตตาอันไม่มีประมาณ กำลังบุญจากจิตอันบริสุทธิ์แผ่สว่างปกปักรักษาคุ้มครองทั้งจิตผู้ปฏิบัติเอง ญาติทั้งหลาย ญาติธรรมทั้งหลาย เคหะสถาน สถานที่ประเทศชาติบ้านเมือง พระพุทธศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ กำหนดน้อมจิตให้จิตเรามีกำลังสว่าง บุญกุศลอันเกิดขึ้นจากสมาธิจิตจากเมตตาอันไม่มีประมาณ ตั้งมั่นในอธิษฐาน ขอกำลังจิตสมาธิ อภิญญาจิตเมตตาอันไม่มีประมาณ จงเป็นกำลังคุ้มครองทั้งตัวเราเอง ญาติทั้งหลาย สถานที่เคหะสถาน ญาติ ญาติธรรม คุ้มครองไปถึงประเทศชาติ ขอบเขตดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง กระแสบุญจงปกปักรักษาเป็นเกราะแก้วคุ้มครองผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทุกคน
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป จิตที่เป็นเพชรประภัสสร กำหนดจิตพิจารณายกจิตขึ้นจากรูปสมาบัติขึ้นสู่อรูปสมาบัติ กำหนดจิตเห็นในความไม่เที่ยง รูปทั้งหลาย วัตถุ ทั้งหลาย โลก จักรวาล มีความแปรปรวน มีการพังทลาย มีการสลายตัวไปในที่สุด แม้แต่ร่างกายกายเนื้อของเราก็มีความเสื่อม ความสลายตัว ความแก่ชรา แล้วก็มีความตายไปในที่สุด ร่างกายนี้ไม่เที่ยง โลก จักรวาล สังสารวัฏนี้ ไม่เที่ยงแปรปรวน
กำหนดจิตเห็นทุกสรรพสิ่งสลายล้างกลายเป็นความว่าง ขาว โปร่ง โล่ง ว่าง ไม่มีพื้น ไม่มีผนัง ไม่มีเพดาน ไม่มีขอบเขต ไร้รูปไร้วัตถุ จิตปราศจากความเกาะความยึด ความห่วงความอาลัย ในทุกสรรพสิ่ง จิตปราศจากกระแสคลื่นจากคำพูดจากเสียงวาจา จากกลิ่น จากรส จากรูปที่มากระทบ ทุกสรรพสิ่งนั้นกลายเป็นความโล่งว่าง ปราศจากสิ่งปรุงแต่ง ปราศจากสิ่งที่ทำให้จิตเรารู้สึกกระทบใจ สัญญาความจำล้วนแล้วแต่เป็นมายา สลายล้างออกไปจากจิต หวนรำลึกนึกถึงก็มีทั้งสุขทั้งทุกข์ โหยหาอดีตก็เป็นความทุกข์ กระตุ้นเตือนสิ่งที่เป็นความแค้นความพยาบาทก็เป็นทุกข์ สลายล้างสัญญากลายเป็นความว่างประดุจภาพที่เป็นมายา ดุจดังน้ำค้างในยามเช้าที่ต้องแสงแดดก็ระเหยหายไปจนหมด สรรพสิ่งทั้งหลายกลายเป็นความว่าง ดับล้างกระแสกรรมกระแสวิบาก ดับล้างภัยพิบัติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นต่อตัวเราต่อจิต ทุกสรรพสิ่งดับล้างเป็นความว่าง คลื่นสึนามิทั้งหลายสลายกลายเป็นความว่าง แผ่นดินภูเขาไฟระเบิดสลายกลายเป็นความว่าง ลมพายุสลายกลายเป็นความว่าง เพลิงไฟทั้งหลายสลายกลายเป็นความว่าง มีแต่ความว่าง ดับล้างสิ่งที่เป็นภัยพิบัติทั้งปวง ทรงสภาวะในอรูปฌาน จิตลอยเด่นอยู่ท่ามกลางความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า นิ่งสงบ ว่าง ปราศจากการปรุง ปราศจากความคิด ปราศจากการปรุงแต่ง ปราศจากรูป ทรงสภาวะในกำลังฌานสมาบัติสูงสุดคืออรูปสมาบัติไว้ ประคองกำลังแห่งฌานเพื่อเป็นกำลังของวสี นิ่ง สว่าง โล่ง ว่าง ไร้สัญญา ไร้การปรุงแต่ง ไร้รูป ไร้แม้ร่างกายตัวตน
เมื่อทรงกำลังสูงสุดแห่งสมถกรรมฐานคือสมาบัติ 8 จนจิตมีความตั้งมั่น เราก็เดินจิตต่อไป โดยตั้งกำลัง ว่ากำลังจิตของเราทรงไว้ในกำลังฌานสูงสุด จิตมีความเคารพตั้งมั่นถึงไตรสรณคมภ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นหลักชัยแห่งจิต กำหนดภาพนิมิตเป็นสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิสว่างปรากฏอยู่ ความสว่างความแพรวพราวความชัดเจนปรากฏ จนนิมิตที่ปรากฏเกิดขึ้นนั้นชัดเจน มีกระแสพุทธานุภาพจนจิตเราสัมผัสได้ จิตรู้สึกถึงความอัศจรรย์ องค์พระท่านชัดเจนผ่องใสอย่างยิ่ง ภาพพระพุทธองค์ที่ปรากฏประดุจพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาปรากฏเบื้องหน้า
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ข้าพเจ้าปฏิบัติในกำลังฌานสูงสุดที่ทำได้ และพระพุทธองค์ทรงเมตตา มีกำลังพุทธานุภาพพระราชทานมายังข้าพเจ้าครึ่งกำลังในกำลังสูงสุดและครึ่งกำลังที่พระพุทธองค์ทรงเมตตา ขอกำลังมโนมยิทธิของข้าพเจ้าจงปรากฏเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลังพุ่งขึ้นไปบนพระนิพพาน อาทิสมานกายของข้าพเจ้าจงปรากฏในความเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพชัดเจนสว่าง เมื่อขึ้นไปแล้วก็น้อมจิตอธิษฐานขออยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพร้อมด้วยมหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์
จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ขออาราธนาบารมีเทพพรหมเทวาทั้งหลาย ท่านผู้เป็นผู้ใหญ่ เทวดาพรหมผู้ใหญ่ในสวรรค์และพรหมชั้นต่างๆ ขอเมตตามาปรากฏอยู่บนพระนิพพานด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดและดูว่าท่านองค์ใดมาปรากฏบ้าง อธิษฐานจิต สำหรับวันนี้หลายคนที่ไปร่วมพิธีที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ เราก็ขอบารมีเทพพรหมท่านปรากฏ ขอให้เห็นภาพเหตุการณ์ในภาคของความเป็นทิพย์ว่าท่านแต่ละพระองค์ท่านเมตตามาไหม มีท่านใดที่ปรากฏเสด็จมาบ้าง และท่านช่วยเหลือสงเคราะห์ในเหตุการณ์บ้านเมืองอย่างไร
กำหนดน้อมให้เห็นในภาคทิพย์ ว่ากำลังจิตของคนที่ตั้งใจอธิษฐานจิต เพื่อบ้านเมืองเพื่อส่วนรวม รวมตัวเป็นกระแสบุญ มีกระแสความบริสุทธิ์ของจิต มีแสงสว่าง มีพลังงานเพียงใด เราก็น้อมจิตอธิษฐานโมทนาบุญ แล้วก็ตั้งจิตเชื่อมกระแสบุญ ณ สถานที่และเวลานั้น เชื่อมกับกระแสนิพพาน ขยายกำลังบุญบารมีให้เกิดผลอานิสงส์ในการคุ้มครองบ้านเมือง ให้สนามพลังงานแห่งบุญกุศลนี้มีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังบุญที่จะมาคุ้มครองบุคคลที่พึงได้รับความคุ้มครองให้รอดปลอดภัย
กำหนดน้อมให้เห็นกระแสของบุญ แสงสว่าง เราดูอยู่จากข้างบนพระนิพพาน กำหนดน้อมให้เห็นแสงสว่างนั้น แผ่ปกคลุมประเทศไทย ปกคลุมโลกใบนี้ทั้งหมด คลื่นกระแสแห่งบุญมีคลื่นความถี่ เป็นคลื่นเดียวกันกับจิตของบุคคลผู้มีจิตอันเป็นกุศล บุคคลที่มีจิตอันมีเมตตา บุคคลผู้มีจิตมีศีลมีธรรมประจำใจ กำหนดพิจารณาต่อไปว่า กาลต่อไปข้างหน้าก็เป็นเวลาเป็นหน้าที่ของท่าน ที่จะต้องมาทำหน้าที่ซึ่งเป็นปกติของสังสารวัฏ มีเจริญขึ้นก็มีเสื่อม ความเจริญที่ปรากฏขึ้น ถ้าเป็นความเจริญแต่เพียงวัตถุ ยิ่งเจริญยิ่งมีแต่ความโลภโกรธหลง เอารัดเอาเปรียบกอบโกยเบียดเบียน ในความเจริญเพียงเปลือกนอกที่มันวัตถุ มันก็ทำให้จิตใจเสื่อมลง เสื่อมคุณธรรมเสื่อมศีลธรรมลง เมื่อเสื่อมจากคุณธรรมศีลธรรมความดีบุญกุศล พลังงานคือกระแสแห่งบุญที่ประคองโลกใบนี้ให้เกิดสันติสุขร่มเย็น มันก็ถูกผุกร่อนถูกพังทลาย จนก่อให้เกิดความล่มสลายเกิดภัยพิบัติต่างๆ บุญกุศลธรรมะคุณธรรมเป็นเสาหลักที่ค้ำจุนสังคมค้ำจุนโลกใบนี้ ให้เกิดความสุขสงบสันติร่มเย็น
เราพิจารณามองให้เห็นในความเป็นธรรมดา พิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณจากเหตุการณ์ที่ปรากฏ พิจารณาเห็นจิตใจของผู้คนที่เสื่อมจากคุณธรรมศีลธรรม ที่แยกแยะความดีความชั่วบุญบาปเวรกรรมไม่ออก ก็เป็นธรรมดาที่เมื่อไหร่ถึงวาระก่อนเข้าสู่ยุคชาววิไล บุคคลที่เป็นคนพาลเป็นมิจฉาทิฐิก็ต้องถูกกวาดล้างไป ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจแห่งกฎของกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เราพิจารณาให้เห็นเพื่อวางใจของเราให้เป็นอุเบกขา ไม่ทุกข์กับการเปลี่ยนแปลง ไม่ทุกข์กับความไม่เที่ยงของโลก ไม่ทุกข์จากการพังทลายของบ้านเมืองของสังคมจากภัยภิบัติต่างๆ
กำหนดจิตพิจารณาให้เห็นว่าความไม่เที่ยงที่มันใหญ่ขนาดนี้ มันก็คืออนิจลักษณะเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ ทุกสรรพสิ่งมีความแปรปรวนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เราพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณ โลกมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา เราตราบที่ยังมีโมหะความหลง เราก็จะคิดว่าโลกนี้ บ้านเมือง อารยธรรม สังสารวัฏ หรือแม้แต่ภพชาติเป็นของเที่ยง เกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องเกิดเป็นมนุษย์อีก เกิดมาแล้วก็ต้องเจอกันไปอีก บ้านเมืองอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น แต่ความเป็นจริงพอเราพิจารณาเห็นในปัจจุบัน เราก็จะเห็นได้ว่ามันไม่เที่ยง ย้อนดูด้วยอดีตังสญาณ ตั้งแต่สมัยอารยธรรมโบราณโยนกนคร อาณาจักรที่เก่ายิ่งกว่าสมัยสุโขทัย ก็มีความล้มสลายจากแผ่นดินไหว เมืองต่างๆก็เคยมีประวัติที่เมืองล่มทั้งเมือง เมืองศรีเทพก็เคยล่มสลาย ตํานานเวียงหนองล่มทั้งหลาย ไม่เฉพาะแต่ประเทศไทย ในอารยธรรมประเทศอื่นมันก็มีการล่มสลาย อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องธรรมชาติ ล่มสลายจากธรณีพิบัติคือแผ่นดินไหวบ้าง หรือเกิดการล่มสลายจากโรคระบาด อย่างกรุงศรีอยุธยาเองก็เกิดขึ้นจากการย้ายราชอาณาจักร จากเมืองที่มีโรคระบาดรุนแรง ย้ายมาตั้งราชธานีอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในยุคสมัยของพระเจ้าอู่ทอง
ความไม่เที่ยงความแปรปรวนภัยพิบัติทั้งหลายเป็นเรื่องปกติ การล่มสลายของประเทศ การล่มสลายของอาณาจักร เป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อไหร่ที่จิตเราเข้าถึงความเป็นธรรมดา เห็นจริงตามกฎไตรลักษณ์ ยามที่เราประสบพบเจอกับตัวเราเอง ความหวั่นไหวความสะดุ้งความหวาดกลัวในจิต มันก็จะเบาบางมากกว่าคนทั่วไป เหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับโลกมนุษย์ในกาลต่อไปในระยะเวลาอันใกล้นี้ มันอาจจะมีความรุนแรงในบางเขตบางจุดบางพื้นที่ และในบางพื้นที่ก็มีแต่ความปลอดภัย
จำไว้ว่าทุกสรรพสิ่งเป็นไปตามกฎของกรรม กฎของกรรมก็คือเมื่อถึงคราวที่วาระกรรมมันส่งผล เราจะต้องตาย อย่างไร จะเตรียมตัวอย่างไร จะหนีอย่างไร เราก็ตาย มันก็ต้องไปโดนในที่สุด แต่สำหรับบุคคลที่มีบุญ มีวาสนาบารมี มีบุญคุ้มครอง มีบุญคุ้มตัว ในที่สุดก็ต้องรอดจากภัยพิบัติ แคล้วคลาดปลอดภัยไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ดังนั้นเราไม่ต้องไปกลัวจนเกินไป สิ่งสำคัญคือเอาความไม่เที่ยง เอาความแปรปรวน เอาการเปลี่ยนแปลงทางภัยพิบัติ มาเป็นครูมาเป็นเครื่องกระตุ้นเตือน ให้เรายิ่งปฏิบัติเข้มข้นขึ้น ยิ่งทรงอารมณ์ใจเราให้สูงขึ้น ทรงภาพพระให้บ่อยขึ้น ฝึกยกจิตขึ้นสู่พระนิพพานให้มากขึ้น เหมือนกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น เป็นสัญญาณเตือนภัยในมรณภัยในมรณานุสติ ว่าเราใกล้ความตายขึ้นมาก มีเหตุภัยพิบัติเกิดขึ้น จะเป็นที่ใดขึ้นมา ก็กระตุ้นเตือนจิตเราว่าให้เห็นว่าความตายมันเป็นของไม่เที่ยง
คราวนี้สำหรับเราที่ปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติธรรมเราตั้งจิตเพื่อพระนิพพานชาตินี้ ดังนั้นคำกล่าวที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวไว้ว่า มีเพียงบุคคลบางประเภทเท่านั้นที่ไม่กลัวความตาย ได้แก่พระเจ้าจักรพรรดิราช ไม่กลัวความตาย ด้วยมานะทิฐิ ขัตติยมานะความเป็นกษัตริย์ ยามออกรบมีความห้าวหาญไม่กลัวความตาย
ต่อมาก็คือ ม้าอาชาไนย มีความห้าวหาญ มีความคึกคะนองในการออกศึกสงคราม ไม่กลัวความตาย
ส่วนประเภทสุดท้ายก็คือพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านไม่กลัวความตาย เพราะท่านรู้ว่าตายเมื่อไหร่ ท่านไปพระนิพพาน
ดังนั้นเมื่อเราปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุดเรารู้ว่าตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพาน ความกลัวตาย ความสะดุ้งในมรณภัยในจิตของเราก็จะน้อยกว่าบุคคลที่เป็นปุถุชน คนที่ไม่รู้คติที่ไป เราฝึกที่จะตั้งใจของเราไว้ ได้ข่าวมีเรื่องราวของภัยพิบัติเกิดขึ้นปุ๊บ เรายกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน พิจารณาว่าเราไม่ประมาทในความตาย ให้การปฏิบัติธรรมของเรามันมีความเข้มข้นขึ้น เตือนภัยพิบัติขึ้นมา เรานึกถึงว่า เตือนให้เรานึกถึงพระนิพพาน นึกถึงความเข้มข้นในการปฏิบัติ ทานศีลภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน
สำหรับวันนี้ก็มีเรื่องราวที่เป็นเรื่องเล่า อันนี้ก็เป็นเรื่องจริงของญาติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นผู้ที่จัดโต๊ะบวงสรวง ออกงานจัดโต๊ะบวงสรวง ก็เล่าให้ฟังว่าปกติรถกระบะที่มารับชุดบวงสรวงไปงานต่างๆ คนขับรถเขาเป็นคนที่รับงานปูกระเบื้องคือรับงานก่อสร้างด้วยนอกเหนือจากขับรถ ก็ปรากฏว่าบังเอิญมีคนจ้างให้ซับงาน คือรับงานเป็นช่วงต่อ ไปปูกระเบื้องที่ ตึก สตง แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องมีพนักงานไปปูพื้นกระเบื้องทั้งหมด 10 คน เขาก็รวบรวมคนขับรถก็รวบรวมทีมงาน ปรากฏว่าได้ 9 คน ทางคนที่ให้งานมาก็ไม่เอา ไม่รับไม่ครบสิบ ดังนั้นไม่ครบ 10 ก็กลายเป็นว่าเขาไม่ได้งานนั้น พอไม่ได้งานนั้น ปรากฏว่าพอช่วงบ่ายมีข่าวว่า มันมีแผ่นดินไหว ตึกนั้นถล่มทั้งตึก ก็กลายเป็นว่าคนขับรถกระบะที่ช่วยจัดงานบวงสรวงต่างๆก็แคล้วคลาดปลอดภัย ทั้งๆที่จริงๆก็ถูกเล็งไว้ว่ามีโอกาส ถ้าหาคนอีกคนหนึ่งได้ครบ 10 คนนั้นก็ถึงคราวที่ตายพอดี ปรากฏว่าเหมือนเทวดาดลใจ มีคนหนึ่งไม่ว่าง อันนี้ก็ถือว่าเรียกว่าเป็นการแคล้วคลาด คือดวงชะตาไม่งั้นก็โดนแล้ว อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าตัวเราเองไม่อยู่ในวาระ 1_ไม่อยู่ในวาระ 2_มีบุญสนับสนุน 3_เทวดาท่านเห็นว่าไม่เกินกำลัง อยู่ในวิสัยที่ดลใจให้แคล้วคลาดได้ ดลใจให้ไม่ไป ดลใจให้ไม่โดน ในขณะเดียวกันคนที่โดนก็คือเจ้ากรรมนายเวรเขาดลใจ ไม่ไปก็ไป โดน ดังนั้นจริงๆการที่เราขอขมากรรมจากเจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆ แผ่เมตตามากๆ มีเทวดารักษามาก อันนี้ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เราแคล้วคลาด
อีกประการหนึ่งที่เป็นเรื่องสำคัญที่พระท่านให้เตือนก็คือเรื่องของ “อเสวนา จ พาลานัง” ไม่ใช่แค่ไม่พูดกับคนพาล แต่คือไม่พบไม่คบ พยายามไม่ไปพบไม่คบกับคนพาล คนที่มีบาปมีเวรมีกรรม ทำกรรมหนักเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะเมื่อไหร่ถ้าเราไปกับคนพวกนี้ บางทีเราไม่ใช่อยู่ในเกณฑ์ แต่ถูกลากไป ไปโดนเพราะไปกับคนที่เขาตั้งใจจะเก็บกวาด คนที่เป็นมิจฉาทิฐิแต่เราไปคลุกคลีไปอยู่กับคนเหล่านั้น เราก็โดนลูกหลงไปด้วย โดนหางเลขไปด้วย ดังนั้นช่วงนี้เป็นช่วงคัดกรอง คนไหนเขาไม่อยู่ในวิสัยที่จะพูดจากันให้รู้เรื่องในเรื่องบุญเรื่องบาปเวรกรรมคนไหนพูดไม่รู้เรื่องในเรื่องของการกตัญญูรู้คุณต่อชาติบ้านเมือง หวงแหนแผ่นดิน ใครที่พูดไม่ฟังไม่รู้ในเรื่องของความสำคัญคุณค่าของสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็ตัดเป็นบัญชีแยกประเภท ห่างห่างไว้ ไม่ต้องคบค้า ไม่ต้องไปด้วย เขาชวนไปไหนเราก็ไม่ต้องไป ถ้าเราทำเช่นนี้ได้ ตั้งจิตเป็นกุศลเป็นปกติ ทรงภาพพระเป็นปกติ ถ้าไม่เกินกฎของกรรมจริงๆ อย่างไรก็ตามเทวดาพรหมท่านสงเคราะห์ได้แน่นอน
ตอนนี้ก็ให้เรากำหนดจิตอยู่บนพระนิพพาน กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใส มองลงมายังโลก ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอทิพย์จักษุญาณมองทะลุลงไปใต้โลก บางคนแค่กำหนดปุ๊บเดียวก็ได้ยินเสียงคลื่น ใต้โลกตอนนี้เกือบทั่วทุกเขตคือแนวรอยเลื่อนมันมีการขยะตัว มันมีการ Active เพียงแค่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะเกิดแจ็คพอตที่ไหน ก็ให้เราระมัดระวัง อย่าไปตื่นตกใจมากจนเกินไป กำหนดรู้ว่าโลกมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
กำหนดน้อมกระแสบุญจากพระนิพพานลงไปยังใจกลางโลก “แม่พระธรณี” น้อมจิตกระแสบุญทั้งหลาย ทานศีลภาวนา จิตสมาธิเมตตาอัปปันนาณฌาน หรือแม้แต่กำลังบุญจากการเจริญจิตเพื่อมรรคผลพระนิพพาน น้อมรวมลงสู่ใจกลางโลก ปรับให้กระแสบุญหล่อเลี้ยงใจกลางโลก กระแสบุญถึงแม่พระธรณี เห็นกระแสแสงสว่างจากบนพระนิพพานหลั่งไหลเชื่อมโยงลงมาสู่กลางโลก ตั้งจิตว่า ปฏิปทาสาธารณประโยชน์ เมตตาจิต กำลังฌาน ญาณและสมาบัติทั้งหลาย ขอจงเป็นกำลังบุญหล่อเลี้ยงค้ำจุนให้โลกนี้ ยังปลอดภัยสำหรับบุคคลที่พึงอยู่ถึงยุคชาววิไลต่อไปด้วยเถิด กระแสบุญหลั่งไหลลง
จากนั้นเรากำหนดจิตอยู่เบื้องหน้าพระบนพระนิพพาน อธิษฐานจิตน้อมนึกทบทวน เราเคยฝึกเราเคยปฏิบัติมา ได้กราบเทพพรหมเทวาครูบาอาจารย์ เรากำหนดอธิษฐานให้ของที่เป็นทิพย์ทั้งหมดจงปรากฏเบื้องหน้าอาทิสมานกายของข้าพเจ้า ขอสิ่งที่เป็นทิพย์จงปรากฏกำลัง เกิดความเข้มขลังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ บางคนเคยได้จักรแก้ว บางคนเคยได้พระขรรค์ บางคนเคยได้พระธาตุ บางคนเคยได้แก้วสีต่างๆ สิ่งใดที่เคยได้ก็ขอจงปรากฏเบื้องหน้ากายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพของเรา อธิษฐานให้สิ่งที่เราเคยได้รับที่เป็นทิพย์ทั้งหมด เปล่งแสงสว่าง มีรุ้งกระจาย มีรัศมีสว่าง
จากนั้นอธิษฐานให้เครื่องของอันเป็นทิพย์ค่อยๆลอยเข้าไปอยู่ภายในกายของเรา อยู่ภายในศูนย์กลางกายของกายทิพย์เรา ค่อยๆลอยเคลื่อนเข้าไปทีละชิ้นทีละชิ้น เมื่อลอยเข้าไปแล้วก็ปรากฏว่ากายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพเรายิ่งสว่างขึ้น อธิษฐานขอให้เกิดเป็นความศักดิ์สิทธิ์ อธิษฐานขอให้เกิดเป็นบุญฤทธิ์
จากนั้นอธิษฐาน วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 5 แล้วก็เป็นวันพระ เป็นวันแรกของปีใหม่ไทย อธิษฐานขอให้ความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ แรงครูบาอาจารย์จงประสิทธิ์ประสาทมายังทั้งกายเนื้อกายทิพย์ของข้าพเจ้า อธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤาษี พระราชพรหมยาน ขอเมตตาประสิทธ์ประสาทยันต์เกราะเพชรลงมายังกายเนื้อขันธ์ 5 ของข้าพเจ้า ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพมาสถิตรักษาขันธ์ 5 กายเนื้อนี้ ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ขอกำลังพุทธานุภาพคุ้มครองจิตข้าพเจ้าให้มีมหาสติ มีความตั้งมั่น ไม่สะดุ้งไม่หวั่นไหวไปกับอุบัติภัยทั้งหลายภัยพิบัติทั้งหลาย มีจิตแนบรำลึกนึกถึงพระนิพพานได้อย่างมั่นคง อธิษฐานเห็นยันต์เกราะเพชรคลุมทั่วร่างกายเราทั้งหมด สว่าง เป็นเส้นแสงเป็นแก้ว มีแสงเปล่งประกายทะลุออกมาจากขันธ์ 5 ร่างกาย เป็นลายยันต์เกราะเพชร ทรงอารมณ์ทรงสภาวะเราไว้
จากนั้นกำหนดจิต กราบขอบพระคุณทุกท่านทุกๆพระองค์ที่เราได้พบได้กราบ กราบด้วยความนอบน้อมด้วยความเคารพ กราบด้วยความรู้สึกของอารมณ์จิตที่ยอมมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย ต่อเทพพรหมเทวาครูบาอาจารย์
กำหนดน้อมจิตเพื่อให้กำลังแรงครูกำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ประสิทธิ์ประสาท ลงสู่กายวาจาใจเรา ให้เราปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ให้เราเป็นผู้ที่มีสวัสดิมงคลความเจริญรุ่งเรือง กำหนดน้อมเห็นกายพระวิสุทธิเทพเราสว่าง จิตของเราเอิบอิ่มยิ้ม ปราศจากความหวั่นไหว จิตเกิดปัญญาญาณ เห็นความไม่เที่ยงของโลก เห็นความไม่เที่ยงในอนิจลักษณะอย่างชัดเจน
จากนั้นกราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ กราบแทบเบื้องพระบาท อธิษฐานว่าวันนี้เราได้เจริญจิตภาวนาแผ่เมตตา เจริญฌานสมาบัติ เจริญวิปัสสนาญาณแล้ว ก็น้อมกำลังบุญให้กับโลก ให้กับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้กับบ้านเมือง ขอกำลังบุญที่เรามาช่วยค้ำยันให้เกิดความสุขสันติ จงเกิดผลอย่างอัศจรรย์ สิ่งใดที่สลายตัวลงไปได้ ภัยใดที่สามารถสงบระงับได้ ก็จงเป็นมหาระงับ ภัยใดที่ระงับไม่ได้ก็ขอให้บรรเทาเบาบางลงไปได้ ภัยใดที่ไม่อาจระงับไม่อาจเบาบางลงได้ ก็ขอให้สาธุชนคนดี คนที่มีคุณธรรมศีลธรรม รวมถึงข้าพเจ้าทั้งหลาย แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยนั้น
ขอเทวดาพรหมผู้เป็นสัมมาทิฐิ เทวดาพรหมทุกพระองค์ ที่ท่านพิทักษ์รักษาข้าพเจ้าในยามเจริญพระกรรมฐาน เป็นบิดามารดาในอดีตชาติ เป็นท่านผู้มีพระคุณมาในกาลก่อน เป็นกัลยาณมิตรของข้าพเจ้ามาในอดีต ขอท่านเมตตาสงเคราะห์ดลจิตดลใจ คุ้มครองให้ข้าพเจ้าปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง กำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กำลังบุญแห่งพระนิพพาน หากข้าพเจ้ายังไม่อยู่ในวาระ ก็ขอให้รอดปลอดภัยอย่างอัศจรรย์ ด้วยกำลังของพุทโธ ธัมโม สังโฆ กำลังของพระพุทธองค์อันไม่มีประมาณด้วยเถิด
กำหนดน้อมจิตให้เห็นกายพระวิสุทธิเทพเราสว่างผ่องใสอีกครั้งหนึ่ง เป็นเพชรชัดเจนสว่าง
จากนั้นน้อมกระแสแห่งพระนิพพานลงมายังโลกมนุษย์ คลุมกายเราทั้งหมด เห็นยันต์เกราะเพชรสว่างคลุมทั้งหมด ยันต์เกราะเพชรคลุมหลังคาบ้านเคหะสถาน ตึกอาคารที่เราอาศัยอยู่ ใครอยู่คอนโดก็เห็นยันต์เกราะเพชรปิดรอบทั้งตึกนั้นทั้งหมด
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน พุ่งจิตกลับลงมายังกายเนื้อ พร้อมกับน้อมกระแสบุญจากพระนิพพานลงมาฟอกชำระฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วร่างกายเป็นแก้วใส เส้นเอ็นหลอดเลือดทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วใส เซลล์ทุกเซลล์กล้ามเนื้อทุกส่วนกลายเป็นแก้วกลายเป็นเพชรใสสว่าง อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วใสสว่าง เซลล์ผิดปกติเซลล์ที่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายสลายตัวไปให้หมด
จากนั้นน้อมกระแสบุญลงมาคุ้มกายเรา ทำความรู้สึกอธิษฐาน ขอกระแสพุทธานุภาพเป็นแสงสว่างลงมายังพระ เครื่องรางของขลัง ผ้ายันต์ ตะกรุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราบูชาอยู่ทุกชิ้นทุกๆพระองค์ ขอจงปรากฏความสว่างผ่องใสชัดเจน กำลังพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ประสิทธิ์ประสาทในพระเครื่องทุกพระองค์ ปลุกกำลังแห่งพุทธานุภาพ กระแสพระนิพพานปลุกกำลังแห่งธรรมานุภาพ กระแสพระนิพพานปลุกกำลังแห่งสังฆานุภาพ
พุทธังประสิทธิเม ธัมมังประสิทธิเม สังฆังประสิทธิเม
จากนั้นเราก็น้อมจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคนทั้ง 80 กว่าท่าน ที่เข้ามาปฏิบัติร่วมกัน อธิษฐานจิตร่วมกัน เจริญพระกรรมฐานร่วมกันในวันนี้
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้มีความสุขความเจริญก้าวหน้าในธรรม ปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยพิบัติทั้งปวง สำหรับพรุ่งนี้อาจารย์ก็จะเดินทางไปกราบรายงานความคืบหน้าเรื่องการจัดสร้างพระ รวมทั้งนิมนต์พระอาจารย์หนุน วัดพุทธโมกข์ ร่วมงานในวันหล่อพระ ดังนั้นก็เลยไม่ได้สอนในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็เป็นโอกาสที่ดีที่ทุกคนทั้ง 2 ห้องคือห้องครูแล้วก็เมตตาสมาธิได้มาฝึกสมาธิร่วมกันวันนี้ ทำพิธีร่วมกับท่านที่ได้ไปงานที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพฯในตอนเช้า
สำหรับวันนี้ก็ขอให้เราทุกคนมีความสุขความเจริญก้าวหน้า เวลาที่เดินทางไปในช่วงเทศกาลสงกรานต์ก็พยายามตั้งใจ ทรงภาพพระไว้ตลอด เวลาทานอาหารที่ใดก็ตามอธิษฐานถวายข้าวพระ อธิษฐานกลั่นอาหารให้เป็นของทิพย์เป็นแก้วถวายพระพุทธองค์ไว้เสมอ ไปไหนมาไหนด้วยจิตที่ไปกับพระไปด้วยความไม่ประมาท ขยันเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติในการยกจิตขึ้นพระนิพพาน แล้วก็สำหรับใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นก็ระมัดระวังดีๆ นิดนึง ติดตามข่าวสารให้ดีๆ ถ้ามีสัญญาณเตือนต่างๆ ก็พยายามเชื่อลางสังหรณ์ เซ้นส์ตัวเองดีๆนะ
วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สัปดาห์นี้สวัสดีครับ
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวิลาวัลย์ วลีเดช